ตำนาน เทพ นวนิยาย อียิปต์ เทพเจ้ารา

ตำนาน เทพ นวนิยาย อียิปต์ เทพเจ้ารา
เป็นเทพสูงสุดของชนชาวอียิป  เทพเจ้ารา คือ สุริยเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งเฮลิโอโปลิส นครสิริยะ คำว่า รา อาจหมายถึง เทพเจ้า ผู้สร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ และเป็นคำแรกที่นำมา ใช้กับคำว่า ซัน ซึ่งหมายถึง ดวงอาทิตย์ หรือ พระอาทิตย์ ต่อมาก็ได้กลายเป็นนามของเทพ เทพรามีสัญลักษณ์และมีพระนามอีกเป็นจำนวนมากมาย นักปราชญ์บางคนกล่าวว่า รา นั้นเป็นเทพเจ้าที่มีพระเศียรหรือหัวเป็นหัวเหยี่ยว ทรงสวมมงกุฎที่เป็นแผ่นวงกลมรูปพระอาทิตย์และงูเห่ากำลังแผ่แม่เบี้ย ฮารัคเต หมายถึง เทพฮอรัสแห่งขอบฟ้ากว้างไกล ซึ่งก็คือแหล่งกำเนิดของดวงอาทิตย์ หรือ พระอาทิตย์นั่นเอง หากพิจารณาถึงบทบาทสำคัญของ เทพเจ้า รา-ฮารัคเต องค์นี้แล้วก็ถือว่าเป็นสุริยเทพแห่งเฮลิโอโปลิสที่ชนชาวอียิปต์ให้เคารพบูชาตลอดมา

เทพเจ้าราทรงได้รับการยกย่องให้เป็นพระบิดาและราชาแห่งเทพยดาทั้งหมูทั้งหมวด มนุษย์ และสิ่งมีชีวิตทั้งปวงอีกด้วย เล่ากันว่ามนุษย์และสิ่งมีชีวิตเกิดมาจาก พระเสโทและน้ำในพระเนตรของพระองค์ ตามตำนานได้เล่าอีกว่า เทพเจ้าราทรงปกครองโลกนี้ซึ่งอยู่เหนือจักรวาลที่พระองค์ทรงเนรมิตขึ้นมา ต่อมาพระองค์ได้ทรงแปลงกายมาเป็นมนุษย์ และ ได้กลายเป็นฟาโรห์พระองค์แรกที่ปกครองอาณาจักรไอยคุปต์หรืออียิปต์โบราณนั้นเองจนเจริญรุ่งเรือง ต่อมาเมื่อทรงชราภาพและอ่อนแอลง ประชาชนบางกลุ่มได้คิดที่จะแข็งข้อ ต่อต้าน ทำให้พระองค์โกรธเป็นอันมากและดำริจะใช้ตาไฟเผาผลาญทำลายชีวิตกลุ่มบุคคลดังกล่าวให้วอดวายหรือตายไป แต่ได้รับข้อเสนอว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้ผู้ที่ไม่ผิด เดือดร้อน ด้วยเหตุนี้นี่เองพระองค์จึ่งได้ทรงเนรมิตเทวีฮาเอทร์ ให้กลายร่างสิงโตตัวเมียสูงใหญ่และดุร้ายออกไปล่ากลุ่มมนุษย์ชั่วร้ายกลุ่มนี้ซะที่คิดแข็งข้อกัพระองค์ สิงโตจึ่งได้ทำหน้าที่ของมันคือ ได้ฉีกเนื้อมนุษย์และดื่มเลือดเป็นอาหาร จนกระทั่งสิงโตที่พระองค์สร้างขึ้นได้เมามันกับการล่าเหยื่อจนกระทั่งทำลายมนุษย์บริสุทธิ์ เทพพระเจ้าราพระองค์ทรงเศร้าพระทัยมากกับการกระทำดังกล่าวจึงได้ อภัยให้แก่มนุษย์ และด้วยความรักที่มีต่อมนุษย์นี้เอง ทำให้พระองค์พร้อมด้วยเหล่าเทพยดาทรงเสด็จสู่สวรรค์และได้กลายเป็นดวงดาวต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้ทำให้สวรรค์กับโลกแยกจากกัน เล่ากันว่า ดวงอาทิตย์หรือเทพเจ้าราจะเดินทางข้ามบอบฟ้า จากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตกเป็นประจำทุกวัน เทพเจ้าราพระองค์จะเสด็จโดย เรือแมนเจ็ตพร้อมด้วยเหล่าเทพยดาที่คอยทำลายศัตรูของเทพเจ้าราที่มักขวางทาง ขณะข้ามขอบฟ้าเป็นประจำอย่างนี้ทุกๆวัน หัวหน้ากลุ่มศัตรูของเทพเจ้าราก็คือ พญางูยักษ์เอเป็ป ซึ่งอาศัยอยู่ในวังน้ำลึกของแม่น้ำไนล์นั้นเอง

มีบางตำนานเล่าว่า เทพเจ้ารานั้นทรงเกิดขึ้นตอนเช้าเป็นเด็กน้อย และในตอนเที่ยงก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรง ครั้นถึงตอนเย็นก็จะเป็นคนชรา และ พระองค์ก็จะต้องตายในคืนนั้น ดูแล้วพระองค์ทรงคล้ายกับนกพินิกที่จะตายแล้วพื้นคืนชีพได้ของตำนานเทพเจ้าในกรีกเลย เรื่องนี้สอดคล้องกันตำนานเทพเจ้าราขณะทรงปกครองโลก โดยได้มีเรื่องเล่าไว้ว่า เมื่อเทพเจ้าราเสด็จลงประทับเรือ เดินทางในยามรัตติกาลหรือยามคำคืน ก็จะจำแลงเปลี่ยนพระเศียรของพระองค์เป็นหัวแกะ และพระองค์ก็ทรงมีพระนามอีกอย่างว่า อัฟ-รา หรือ อัฟ ซึ่งหมายถึงซากศพหรือคนที่ตายแล้ว พระองค์เดินทางตลอดสิบสองชั่วโมงแห่งความมืดมิด เรือที่ประทับมีชื่อว่า เมเซ็ค เค็ต เรือยามราตรี ตามความเชื่อของชาวอียิปต์ เชื่อว่าวิญญาณของฟาโรห์และมนุษย์ที่ตายไปแล้วจะอยู่ในรูปแบบของดวงดาว ซึ่งจะคอยรับใช้เป็นลูกเรือสุริยะ ดวงดาวเหล่านั้นก็จะไม่ตกในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นได้ เนื่องจากแสงพระอาทิตย์อันเจิดจ้านั่นเอง เทพเจ้าราเป็นเทพเจ้าที่สูงสุดได้รับการสรรเสริญและเคารพบูชาทั่วทั้งอาณาจักรอียิปต์โบราณ ซึ่งต่างก็ถือหรือเชื่อกันว่าพระองค์คือผู้สร้างโลกและจักรวาลขึ้นมา รวมทั้งเทพยดาทั้งมวล ในสมัยยุคอาณาจักรเก่าบรรดาฟาโรห์ที่ปกครองอาณาจักรอียิปต์เล่าต่อๆกันมา มักจะตรัสอ้างว่าเป็นโอรสของเทพเจ้ารา และสวมเครื่องรางรูปพระเนตร อันเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้ารา อันหมายถึงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์และสูงสุดไม่มีใครสามารถเทียบเคี่ยงได้

ดินแดน ตำนาน เทพ นวนิยาย สแกนดิเนเวีย

ดินแดน ตำนาน เทพ นวนิยาย สแกนดิเนเวีย


ในบางตำนานได้กล่าวไว้ว่า มีดินแดนทั้งหมด 9 ดินแดน แบ่งเป็นสามส่วน
ส่วนบนสุด ส่วนที่ 1 :
ดินแดนของพวกเทพแอสการ์ด Asgard - ที่อยู่ของเทพเอซีร์คือเทพที่เกิดจากโอดิน
ดินแดนของพวกเทพวานาเฮมVanahiem - ที่อยู่ของเทพวานีร์คือเทพนอกเหนือออกไปที่ไม่มีเชื้อสายเลือดของโอดิน
อัลฟ์เฮมAlfheim - เป็นดินแดนเอลฟ์ เอลฟ์แห่งแสงสว่างนั่นเอง มีเวทย์มนต์เป็นเอลฟ์ชั้นสูง
ส่วนกลาง ส่วนที่ 2:
ดินแดนมิดการ์ดMidgard - เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์
ดินแดนนิดาเวลเลียร์Nidavellir - ดินแดนของคนแคระมนุษย์ตัวเล็กๆ
โจทันเฮมJotanheim - ดินแดนแห่งพวกยักษ์ซึ่งในตำนานบางตำนานก็บอกแยกออกไป
สวาตัลฟ์เฮมSvartalfheim - ดินแดนของพวกเอลฟ์ดำและเอลฟ์ขาวถือได้ว่าเป็นเอฟ์ชั้นต่ำ
ส่วนที่อยู่ล่างสุด ส่วนที่ 3:
เฮลเฮมHelheim - ดินแดนใต้พิภพหรืออาณาจักรแห่งความตายหรือเรียกอีกอย่างว่านรก ปกครองโดยเทวีแห่งความตาย เฮล
นิฟเฟิลเฮมNiflheim - เป็นโลกแห่งความตาย

การสร้างโลก ตำนาน เทพ นวนิยาย สแกนดิเนเวีย

การสร้างโลก ตำนาน เทพ นวนิยาย สแกนดิเนเวีย

        แรกเริ่มเดิมทีนับจากอดีตกาบนั้นยังไม่มีจักรวาล ไม่มีโลก มีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าทำนองเดียวกับเคออสของตำเทพนวนิยายกรีก ต่อมาก็เกิดดินแดนหรืออาณาจักรแห่งความหนาวเย็น คือ นิฟเฟิลไฮมNiflheim ขึ้นทางตอนเหนือ และดินแดนหรืออาณาจักรแห่งไฟ คือ มุสแปลไชม์Muspellsheim ทางตอนใต้ เมื่อความร้อนและความเย็นมาบรรจบและรวมตัวกันน้ำแข็งจึงได้ละลายกลายเป็นหยดน้ำ และได้ถือกำเนิดเป็นยักษ์ชื่ออึมีร์ Ymir ซึ่งถือได้ว่าเป็นต้นตระกูลของยักษ์ทั้งหลายทั้งมวง เมื่อยักษ์อีมีร์กำเนิดมาไม่รู้จะทำอะไรก็ได้เดินไปเดินมาจนเกิดความเหนื่อยล้าแล้วก็เผลอหลับไป และได้ให้กำเนิดแม่วัวเอาดูมุลลามา Audumulla อึมีร์ดื่มนมจากแม่วัวตัวนี้จนเติบใหญ่ ส่วนแม่วัวนั้นได้เลียก้อนน้ำแข็งที่มีรสเค็มมากจนก้อนน้ำแข็ง ก่อตัวเป็นสิ่งมีชีวิตคือบุริ Buri บุรินี้เองที่เป็นตนกำเนิดของเหล่าทวยเทพในตำนานของพวกสแกนดิเนเวีย ซึ่งมีลูกชายชื่อบอร์ Bor ตำนานหนึ่งได้เล่าไว้ว่าชายหญิงคู่แรกได้ถือกำเนิดจากรักแร้ข้างซ้ายของยักษ์อึมีร์ และเท้าทั้งสองเกิดเป็นยักษ์น้ำแข็ง หรือ Frost Giants ภายหลังยักษ์อึมีร์ถูกเทพเจ้า ๓ องค์ คือ เทพเจ้าโอดิน Odin วิลิ Vil และเว Ve ซึ่งเป็นลูกชายของบอร์ฆ่าตาย บุตรทั้งสามช่วยกันสร้างโลกขึ้นมาจากร่างกายของยักษ์อึมีร์โดยใช้เนื้อสร้างเป็นผืนแผ่นดิน กระดูกสร้างเป็นภูเขาหรือเทือกเขาและก้อนหิน เส้นผมใช้ในการสร้างต้นไม้ใบหญ้า และเลือดใช้ในการสร้างทะเล หัวกะโหลกถูกนำไปสร้างทำเป็นท้องฟ้าหรือผืนฟ้า โดยใช้ให้คนแคระ ๔ ตน ให้เป็นผู้ชูไว้ให้สูงเหนือโลก ส่วนมันสมองนำมาสร้างเป็นก้อนเมฆ เชื่อกันว่าคนแคระได้ถือกำเนิดจากหนอนที่เกิดขึ้นในร่างของยักษ์อึมีร์ อาจมองได้ว่ายักษ์อึมีร์ไม่เพียงแต่เป็นต้นกำเนิดของเพศชายและเพศหญิงเท่านั้น แต่ยังได้เป็นต้นกำเนิดของมนุษย์และยักษ์ด้วย นั่นสิ

        ระหว่างเผ่าพันธุ์ทั้งหลายทั้งมวลมีการแบ่งอาณาเขตหรืออาณาจักรกันอย่างชัดเจน ศูนย์กลางของอาณาจักรหรืออาณาเขต คือต้นไม้แห่งโลกหรือ World Tree คือ ต้นอึกดราซิล Yggdrasil ซึ่งมีรากทะลุเข้าไปใน ๓ ภพ คือ ภพของเทพเจ้า ภพของยักษ์ และภพของคนตาย ซึ่งบนยอดไม้มีไก่ทองเกาะอยู่ ไก่ตัวนี้จะขันเตือนภัยเมื่อพวกยักษ์เข้ามารุกรานอาณาจักรต่างๆ ที่โคนมีลำธารหรือแม่น้ำชื่อมิมีร์ Mimir ใต้รากหนึ่งของต้นไม้นี้ เทพเจ้าโอดินได้ดื่มน้ำจากลำธารนี้เพื่อจะได้เรียนความรู้เกี่ยวกับอักษรรูน Rune ซึ่งเป็นตัวอักษรโบราณกาลที่มีอำนาจพิเศษหรือเวทมนต์ อาจนำใช้เพื่อสาปแช่งหรือทำร้ายใครๆ ก็ได้ โดยเทพโอดินได้ยอมแลกกับการเสียดวงตาข้างหนึ่ง  ภพของเหล่าเทพคืออัสการ์ด Asgard ซึ่งมีมีมหาเทพโอดินเป็นประมุข เทพแต่ละองค์จะมีวิมานหรือที่อยู่ของตนเอง วิมานของโอดินคือวัลฮัลลา Valhalla มีกำแพงล้อมรอบอัสการ์ดไว้ ภพของมนุษย์นั้นมีชื่อว่ามิดการ์ด Midgard มีรูปทรงกลมเป็นผืนดินล้อมรอบด้วยมหาสมุทรต่างๆ ซึ่งมีสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่หรืองูยักษ์ที่เรียกว่า World Serpent ขดอยู่รอบโลกหรือข้างในโลกได้ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ท้องทะเลและคอยกัดกินรากของต้นอึกดราซิลอยู่ตลอดเวลา มิดการ์ดนั้นก็มีกำแพงป้องกันเฉ่นเช่นเดี่ยวอัสการ์ด ซึ่งสร้างมาจากคิ้วของอึมีร์ เทพเจ้าทำให้เกิดเวลาขึ้นในโลกโดยให้ Night และ Day ขับรถศึกไปรอบๆ ท้องฟ้า โลกของมนุษย์และเทพเจ้านั้นได้เชื่อมต่อกันด้วยสะพานสายรุ้งที่มีว่าชื่อบิฟรอสต์ Bifrost ใต้มิดการ์ดหรือภพของมนุษย์ลงไปเป็น ภพที่ ๓ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกคนตาย มีชื่อว่าเฮล Hel หรือเรียกว่าโลกใต้บาดาลนี้ อยู่ใต้การปกครองของเทพีเฮล มีสุนัขชื่อ การ์ม Garm คอยเฝ้าและป้องกันไม่ให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่เข้าไปในดินแดนแห่งความคนตายได้ ทำนองเดียวหรือคล้ายกับเซอร์บิรุส Cerberus สุนัขที่มีสามหัวซึ่งเฝ้าประตูนรกให้เฮดีส Hades ซึ่งเป็นดินแดนแห่งพวกคนตายของตำนานชาวกรีก ส่วนพวกยักษ์นั้นมีอาณาจักรเป็นของตนเองชื่อโยทุนไฮม์ Jotunheim และคอยโจมตีเทพเจ้าอยู่เสมอ พูดง่ายคือเป็นอริกันนั้นเอง

ฮก ลก ซิ่ว ตำนาน เทพ นวนิยาย จีน

ฮก ลก ซิ่ว ตำนาน เทพ นวนิยาย จีน
       ฮก ลก ซิ่ว นั้นเป็นเทพที่ชาวจีนนิยมนำรูปปั้นมาตั้งไว้ในบ้านเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับบ้าน ซึ่ง เทพ 3 องค์ นี้ต่างก็มีความเป็นมงคลที่แตกต่างกัน ได้แก่
       เทพฮก ซึ่งในรูปจะอยู่ริมขวาของเทพลก เทพฮกนั้นเป็นเทพแห่งความมั่นคงด้วยทรัพย์สินเงินตราตลอดจนความสุขในครอบครัวมากด้วยลูกหลานเหล๊นโหลน เพราะชาวจีนเชื่อว่า การที่เราได้อยู่กับลูกหลานนั้นเป็นสุขที่สุดในชีวิตแล้ว ซึ่งลักษณะรูปร่างของเทพฮกจะเป็นชายวัยกลางคน หน้าตาอิ่มเอม
       ส่วนเทพลกซึ่งอยู่กลางของรูป เป็นเทพแห่งลาภยศยศฐาบรรดาศักดิ์ บุญพาวาสนาและบารมี ซึ่งลักษณะรูปร่างของเทพลกจะเป็นชายวัยกลางคนที่สูงสง่าแต่งกายเป็นขุนนางชาวจีนที่มียศสูงสุดของชนชาวจีน
      แต่ส่วนเทพซิ่วองค์ริมซ้ายของเทพลกหรือซ้ายสุดของรูป เป็นเทพแห่งความมีอายุมักขวัญยืน หรือ อายุยืนยาวนั้นเอง ความเป็นอมตะ ซึ่งในรัชสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ได้เคยสร้างศาลเทพซิ่วเพื่อหวังจะได้มีอายุยืนยาวหรือเป็นอมตะอีกด้วย ซึ่งลักษณะของเทพซิ่วจะเป็นชายชรามีหนวดเครายาว หน้าตาอิ่มเอม ยิ้มแย้มอยุ่ตลอดเวลา และมีหัวผากหัวโน้กนูนออกมาแสดงถึงอายุยืนยาว หรืออมตะ
      และชาวจีนยังมีสัญลักษณ์แทนองค์เทพ ฮก ลก ซิ่ว ดังนี้ เทพฮกเทียบได้กับค้างคาว ซึ่งในภาษาจีนค้างคาวอ่านออกเสียงเหมือนคำว่าฮก ซึ่งแปลว่า ความสุขนั้นเอง
     ส่วนเทพลกเทียบได้กับ กวาง เพราะคำว่ากวางในภาษาจีนอ่านออกเสียงเหมือนกับคำว่าลก
     ส่วนเทพซิ่วคือผลท้อเพราะผลท้อเป็นผลไม้ของสวรรค์ซึ่งถ้ากินแล้ว จะมีอายุเป็นหมื่นปีๆซึ่งเทพซิ่วก็เป็นเทพแห่งอายุยืนยาว และอมตะอีกด้วย

ท้าวจตุโลกบาล ตำนาน เทพ นวนิยาย จีน

ท้าวจตุโลกบาล ตำนาน เทพ นวนิยาย จีน







     ท้าวจตุโลกบาลตามความเชื่อชนชาวจีน ซึ่งในปัจจุบันนั้น มีหน้าที่ดูแลพระพุทธองค์หรือพระพุทธเจ้า โดยทั่วไปในวัดของจีนจะมีท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ยืนอารักขาอยู่ไม่ให้มีสิ่งเลวร้ายเข้ามาในเขตพุทธสถาน 

     ท้าวจตุโลกบาลมีด้วยกัน 4 องค์ ได้แก่
     ท้าวธตรฐ หรือ ทิก๊กเทียนอ๋อง ซึ่งจะทรงถือพิณเป็นอาวุธประจำกาย
     ท้าววิรุฬหก หรือ เตียงเชียงเทียนอ๋อง ทรงถือร่มเป็นอาวุธประจำกาย
     ท้าวกุเวร หรือ โต้บุ๋นเทียนอ๋อง ทรงถืองูเป็นอาวุธประจำกาย
     ท้าววิรูปักข์ หรือ กวางมักเทียนอ๋อง ทรงถือกระบี่เป็นอาวุธประจำกาย

    ซึ่งด้วยท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 องค์ จะประจำอยู่คนละทิศกันไป ซึ่งแต่ละองค์จะมีใบหน้า หน้าตาที่น่ากลัวน่าเกรงขามเพื่อไม่ให้ภูตผีปีศาจเข้ามาในเขตศักดิ์สิทธิ์ได้ของวัดได้

เจ้าแม่หนี่วา ตำนาน เทพ นวนิยาย จีน

เจ้าแม่หนี่วา
เทพมารดร ชนชาวจีน
ตำนาน เทพ นวนิยาย จีน


     คราวนี้เรามาศึกษาเรื่องราวการกำเนิดมนุษยชาติตามคติความเชื่อชนชาวจีน ชนชาวจีนมีความเชื่อว่าพวกของตนและมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นมาจากเทพธิดาแห่งสรวงสวรรค์ในยุคดึกดำบรรพ์ที่มีนามว่า หนี่วา เจ้าแม่หนี่วานี้เองที่ทรงเป็นผู้สร้างมนุษยชาติจากปั้นดินเหนียวขึ้นมา ครั้งกำเนิดโลกและสวรรค์ขึ้นมานั้น เทพมารดรหรือเทพธิดาองค์หนึ่ง ซึ่งมีนามว่า หนี่วา ทรงได้ลงมายังโลกมนุษย์พบ และกับบรรยากาศที่งดงาม แต่กลับมีแต่ความเงียบเหงา พระองค์จึงได้คิดและทรงหยิบดินเหนียวขึ้นมาปั้นเป็นรูปมนุษย์เพศชายและเพศหญิงขึ้นมาจำนวนหนึ่ง แล้วพระองค์ก็ได้ทรงมอบชีวิตให้กับดินเหนี่ยวพวกนั้น มนุษย์จึงได้ก่อกำเนิดขึ้นบนผืนแผ่นดินของโลกใบนี้นั้นเอง 

      อีกตำนานหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า เทพมารดรเจ้าแม่หนี่วาได้อภิเษกกับเทพฝูซี และได้อยู่กินกันฉันสามีภรรยา พอเทพฝูซีไปทำภารกิจหรือธุระด้านนอก เจ้าแม่หนี่วาเองเกิดความคิดถึงเทพฝูซีผู้เป็นสามีเป็นอย่างมาก และด้วยความคิดถึงจึงได้หยิบดินเหนียวก้อนหนึ่งและปั้นเป็นตุ๊กตาดินเหนียวเล็กๆ ที่มีลักษณะคล้ายเทพฝูซีทั้งหน้าตาและรูปร่าง แต่ด้วยอิทธิพลังของเทพมารดรหนี่วาที่ซึมซับสู่ตุ๊กตาดินเหนียว มันจึงได้มีชีวิตมันวิ่งไปวิ่งมาไม่หยุด เจ้าแม่จึงสงสัยและคิดได้ว่ามันไม่มีดวงตาและจะเห็นอะไรได้เหล่า เจ้าแม่หนี่วาจึ่งได้ทรงนำเม็ดทรายสีดำมาวางไว้บนใบหน้าให้เป็นดวงตาสองดวงกับตุ๊กตา เจ้าแม่ด้วยความเหงาจึงคิดชวนเจ้าตุ๊กตาดินเหนี่ยวคุยด้วย แต่มันไม่สามารถคุยได้เพราะมัน ยังไม่มีปากนั้นเอง เจ้าแม่จึงวาดปากลงบนใบหน้าให้กับมัน เจ้าแม่หนี่วาคิดว่าคราวนี้เราคงไม่เหงาอีกแล้ว แต่พระองค์ทรงตรัสอะไรไปเจ้าตุ๊กตาก็ไม่ยอมตอบกลับ เจ้าแม่ลองคิดตรึกตรองดูที่แท้มันยังไม่มีหูนี้เอง แล้วจะฟังเรารู้เรื่องได้อย่างไรกัน เจ้าแม่จึงเจาะหรือทำรูหูให้ นับจากนั้นเจ้าแม่หนี่วาก็ไม่รู้สึกเหงา พระองค์ทรงสนุกกับเจ้าตุ๊กตาดินเหนียวตัวเล็กนั้นมาก และแล้วพระองค์ก็คิดสนุกสร้างตุ๊กตาดินเหนี่ยว ที่เหมือนกันขึ้นมามากมาย ซึ่งก็มีความแตกต่างกันไป มีทั้งเด็กเล็ก ผู้ใหญ่วัยต่างๆ  คนแก่ วัยรุ่นหนุ่มสาว เพศชาย เพศหญิง พระองค์ต้องการสร้างให้มีจำนวนเยอะขึ้นมากขึ้นกว่านี้ จึงได้ใช้เส้นด้ายของตนจุ่มลงไปในดินเหนียวและสะบัด เศษดินเหนียวนั้นก็ได้เกิดขึ้นมาเป็นคนจำนวนมากมาย แต่ด้วยความไม่ประณีตและระเอียดของเจ้าแม่หนี่วา มนุษย์ที่เกิดมาในครั้งนี้จึงไม่สมบูรณ์แบบ บ้างก็พิการ บ้างก็อัปลักษณ์ คนเราจึงมีความแตกต่างกันตามความเชื่อของชนชาวจีนในตำนานนี้นั่นเอง 

เทพผานกู ตำนาน เทพ นวนิยาย จีน

เทพผานกู ตำนาน เทพ นวนิยาย จีน


ชนชาวจีนเชื่อว่า โลกและจักรวาลทั้งมวลได้เกิดขึ้นจาก เทพยักษ์ตนหนึ่ง นามว่า เทพบิดรผานกู



ตั้งแต่เริ่มแรกยังไม่มีสรรพสิ่งหรือสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น ชาวจีนจึ่งมีความเชื่อที่ว่าจักรวาลนั้น เปรียบเสมือนไข่ฟองหนึ่งนั้นเอง ซึ่งภายในเปือกไข่นั้นก็มีแต่ความมืดมิด และแล้วภายในไข่ใบนั้นก็มีสิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งอาศัยอยู่นั้นคือ เทพผานกูนั้นเอง ผานกูได้อาศัยอยู่ในไข่เป็นระยะเวลามาอย่างยาวนานกว่า 18000 ปี จึงได้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล เมื่อเทพบิดรผานกูได้ตื่นขึ้นมากก็พบตนเองนั้นอยู่กับความมืดมิดและความอึดอัด เทพบิดรผานกูไม่ชอบอยู่ในสภาพอย่างนี้ เขาเลยทำการทำลายหรือทลายไข่ฟองนี้ โดยใช้ขวานที่เป็นอาวุธคือกายของตนฟันฝ่าจนไข่นั้นจนแตกออกจากกันเป็นสองส่วน ละอองควันภายในไข่ใบนี้ที่ถูกกักขังมานาน ก็ได้ลอยขึ้นไปเป็นท้องฟ้าหรือผืนฟ้า และเปลือกไข่ก็จมลงจนกว่าเป็นผืนดิน ฟ้าและดินก็ได้บังเกิดขึ้นแล้ว เมื่อฟ้ากับดินได้แยกออกจากกันแล้ว แต่เทพผานกูก็เอายังกลัวว่าฟ้ากับดิน จะกลับมาร่วมตัวกันอีกเป็นครั้งที่สอง และตนเองก็กลัวต้องอึดอัดอีกเป็นแน่  ผานกูจึงเอาคล่ำฟ้าโดยใช้ให้มือดันท้องฟ้าขึ้น ส่วนผืนดินใช้เท้าเหยียบไว้ เทพผานกูทำเช่นนี้เป็นรยะเวลานานกว่าหมื่นปีจนท้องฟ้าและผืนดินแยกออกจากกันอย่างถาวรแน่นอนแท้แล้ว ผานกูก็ได้หมดพลังลงหลัง จากการใช้ร่างของตนเองแยกท้องฟ้ากับผืนดินมานานกว่าหมื่นปี สุดท้ายร่างกายของเทพผานกูก็ได้กลายเป็นโลกใบนี้ ซึ่งมีผู้กล่าวไว้ว่า ร่างกายของเทพบิดรผานกูกลายเป็นโลก และส่วนต่างๆ แม้แต่อวัยวะบางอย่างของเทพผานกูก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกได้แก่

- ดวงตาทั้งสองข้างของเทพผานกูได้กลายเป็น ดวงอาทิตย์ กับ ดวงจันทร์
- เส้นผมของเทพผานกูได้กลายเป็น ดวงดาว
- กระดูกของเทพผานกูได้กลายเป็น ภูเขา
- ผิวกายของเทพผานกูได้กลายเป็น ดิน
- ไขข้อของเทพผานกูได้กลายเป็น มุก และ หยก
- เลือดของเทพผานกูได้กลายเป็น น้ำไหลไป เป็น แม่น้ำลำคลอง และ มหาสมุทร
- เหงื่อของเทพผานกูได้กลายเป็น บ่อน้ำ และ ฝน
- ลมหายใจของเทพผานกูได้กลายเป็น สายลม
- ฟันของเทพผานกูได้กลายเป็น แร่ทองคำ

พระราหู

พระราหู ใน ตำนาน เทพ นวนิยาย ศาสนาพราหมณ์
 
พระอิศวรหรือพระศิวะ ผู้เป็นเจ้า สร้างพระราหูขึ้นโดยใช้ศีรษะของผีโขมด ๑๒ ตัวนำมาป่นลง แล้วจึ่งประพรมด้วยน้ำอมฤตซึ่งก็คือน้ำอมตะนั่นเอง ก็บังเกิดเป็นองค์พระอสุรินทรเรืองฤทธิ์ที่มีสีดำสลัว ทรงทิพยสุวรรณที่แสงสีใสสะอาดและมีวิมานเป็นสีนิล มีมหาสุบรรณราชหรือครุฑเป็นพาหนะ สถิตในทิศพายัพ  ของเขาพระสุเม
มีตำนานได้กล่าวไว้ว่าในอดีตปฐมกาลล่วงนานมาแล้ว พระอาทิตย์ได้เกิดเป็นพญานาค พระพฤหัสบดีเกิดเป็นพระอินทร์หรือเทพผู้ปกครองสรรค์ พระเสาร์ได้เกิดเป็นพญาครุฑ และพระอังคารเกิดเป็นพญาราชสีห์ แล้วได้ร่วมกันดำริห์พร้อมใจกันจะสร้างสระน้ำ ไว้ให้เป็นที่อาศัยแก่มนุษย์ สัตว์ และ เทวดา จึงได้พากันไปปรึกษาพระราหู แต่พระราหูกลับกล่าวว่า เราไม่ได้อาศัยน้ำและแผ่นดินที่พวกเจ้าสร้างขึ้นนั้นด้วย นับตั้งแต่นั้นมา เทวดาทั้ง ๔ องค์ ก็ได้เคียดแค้นต่อพระราหู ครั้นได้ประชุมกันสร้างมหาสระชื่อว่าสุรามฤต เสร็จแล้วก็คิดอ่านช่วยกันรักษา ฝ่ายพระอินทร์นั้น ได้รักษาทางด้านเขาพระสุเมรุ พระยาครุฑว่าจะรับรักษาทางด้านเขาสตบริภัณฑ์ พระยาราชสีห์ได้รับหน้าที่รักษาทางป่าหิมพานต์ พระยานาครับหน้าที่รักษาทางด้านมหาสมุทร อยู่จำเนียรกาลนานมาเกิดภัยพิบัติขึ้น เหตุกาลครั้งนั้นวันหนึ่งพญาครุฑไล่จะจิกกินพญานาค พญานาคจึ่งได้หนีไปพึ่งพระราหูจึ่งได้ขอร้องให้ช่วยชีวิต พระราหูเห็นดังนั้นจึงตวาดว่า ครุฑใจบาป เอ็งมาไล่พวกของข้าทำไม พญาครุฑก็ตอบไปว่าพญานาคนี้เป็นอาหารของเรานะ พระราหูก็โกรธทะยานเข้าวิ่งไล่หมายเอาชีวิต พญาครุฑจึ่งได้แล่นหนีไปพึ่งพาพระอินทร์ พระราหูจึ่งมิอาจไล่เข้าไปได้ ก็หยุดอยู่ตรงนั้น  ขณะที่รอก็เกิดกระหายน้ำ จึงได้ลงไปกินน้ำในสระสุรามฤต พระอินทร์ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งสรรค์ เห็นดังนั้นก็ได้ขว้างจักรไปถูกกายพระราหูขาดเป็นสองท่อน เดชะอำนาจที่ได้ดื่นน้ำสุรามฤต จึงมิตายซึ่งก็คืออมตะนั่นเอง
- พระบูชาวันเกิดคนที่เกิดวันพุธกลางคืนควรมีพระพุทธรูปปางเสด็จประทับในป่าปาริเลยยถะ พระป่าเลไลย ไว้บูชา จึ่งจะมีความสุขความรุ่งเรืองดีขึ้นไปอีก

พระเสาร์

พระเสาร์ ใน ตำนาน เทพ นวนิยาย ศาสนาพราหมณ์
 
กำเนิดพระเสาร์ทรงเป็นโอรสของ พระอาทิตย์และพระนางสัญญา เป็นเทพนิสัยใจร้อน ไม่ชอบอ่อนข้อให้ใคร เป็นเทพที่มีโลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบยุ่งกับชาวบ้านแต่ชอบทำงานที่มันได้หน้า ถ้าเป็นงานปิดทองหลังพระเทพองค์นี้ขอบายหรือไม่ทำลูกเดียว จะเรียกว่าทรงฉลาดแกมโกงนิดๆก็ว่าได้
พระเสาร์ เทวนาครี, ศนิเป็นเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่งในคติความเชื่อของไทย พระเสาร์ถูกสร้างขึ้นมาจากพยัคฆ์ หรือ เสือ 10 ตัว นำมาบดป่นจนเป็นผง ห่อผ้าสีดำ แล้วเสกจึ่งได้เป็นพระเสาร์ที่มีพระสีวรกายดำคล้ำ ทรงขี่พยัคฆ์หรือเสือเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้และแสดงถึงอักษรวรรค ต ถ ท ธ น
พระเสาร์เป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ให้ผลในทางด้านความรุนแรง นั่นคือผู้ใดคนใดเกิดวันเสาร์ หรือมีพระเสาร์สถิตร่วมกับลัคนาของตน มักมีกิริยาหรือนิสัยดุดัน แข็งแรง กล้าได้กล้าเสียจนเกิดไป บุคลิกเคร่งขรึม 
ตามนิทานชาติเวรพระเสาร์เป็นมิตรกับพระราหูและเป็นศัตรูกับพระศุกร์ในโหราศาสตร์ความเชื่อแบบไทย พระเสาร์ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ 7 และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากพยัคฆ์ 10 ตัว จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น 10นั่นเอง
สำหรับพระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันเสาร์ก็คือพระปางนาคปรก
 

พระศุกร์

พระศุกร์ ใน ตำนาน เทพ นวนิยาย ศาสนาพราหมณ์
 
พระศุกร์องค์นี้เป็นเทพที่ดีจะไปที่ไหนก็มีแต่คนรักใครเพราะเป็นคนรักสงบ เป็นเทพที่ไม่ชอบเอาเรื่องเอาราวใครทำให้มีเพื่อนมาก ใครๆ จ้องจะมาเอ็นดูพระศุกร์กันทั้งนั้น ด้วยความดีของตน พระศิวะ จึ่งทำให้ได้รับหน้าที่ดูแลเขาพระสุเมรุทาทิศอุดร คนละทิศกับ พระอังคาร นั่นเอง
พระศุกร์เทวนาครีเป็นเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่งในคติความเชื่อของไทย พระศุกร์นั่นได้ถูกสร้างขึ้นมาจากคาวีหรือวัวจำนวน 21 ตัว แต่ในบางตำราก็กล่าวว่าสร้างจากเทพยาธร-ครึ่งเทพครึ่งมนุษย์นำมาบดป่นให้เป็นผง แล้วจึ่งห่อด้วยผ้าสีฟ้าอ่อน แล้วจึ่งเสกได้เป็นพระศุกร์ที่มีพระสีวรกายฟ้า ทรงคาวีหรือวัวเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศเหนือ และแสดงถึงเศษวรรคที่ 2 ส ห ฬ อ พระศุกร์จัดเป็นครูของพวกยักษ์หรืออสูร ซึ่งตรงข้ามกับพระพฤหัสบดีที่เป็นครูของเหล่าทวยเทพ
พระศุกร์เป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ให้ผลในทางด้านอ่อนหวานแต่ค่อนข้างไปทางใฝ่ต่ำสักเล็กน้อยนั่นคือ ผู้ใดหรือใครก็ตามที่เกิดในวันศุกร์หรือมีพระศุกร์สถิตร่วมกับลัคนาเป็นของตนเอง มักมีกิริยาน่ารัก อ่อนหวานชอบงานศิลปะทุกประเภทเลยทีเดี่ยว
ตามนิทานชาติเวรพระศุกร์ทรงเป็นมิตรกับพระอังคารและเป็นศัตรูกับพระเสาร์อะนะ
ในโหราศาสตร์ความเชื่อแบบไทยพระศุกร์ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ 6 และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากคาวี 21 ตัว จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น 21  นั่นเอง
สำหรับพระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันศุกร์ก็คือพระปางรำพึง ดังรูป
พระพฤหัส ใน ตำนาน เทพ นวนิยาย ศาสนาพราหมณ์
 
กำเนิดจากฤาษี 19 ตน เทพองค์นี้เป็นเทพเจ้าปัญหาเพราะเป็นอาจารย์ของพวกเทวดาทุกองค์ จุดเด่นคือเวลาที่เทพองค์นี้จะไปไหนต้องถือกระดานจดชวเลขติดมือไปด้วย เพื่อเอาไว้ตรวจดูลูกศิษย์ได้ตลอดเวลา พระพฤหัสทรงเป็นบุตรของพระอังคิรสมนี กับพระนางสมปฤดี ซึ่งเป็นตระกูลฤาษีโดยแท้จริง พระองค์ทรงมีพระมเหสีด้วยกัน 2 พระองค์นามว่า พระนางดารา และ พระนางมนตา
พระพฤหัสบดีเทวนาครีเป็นเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่งในคติความเชื่อแบบของไทย พระพฤหัสบดีถูกสร้างขึ้นมาจากพระฤาษี ๑๙ ตน นำมาบดป่นจนเป็นผงแล้วจึ่งห่อด้วยผ้าสีเหลืองส้ม แล้วเสกได้เป็นพระพฤหัสที่มีพระสีวรกายส้มแดง ทรงมฤคหรือกวาง เป็นพาหนะซึ่งประจำอยู่ทิศตะวันตกและแสดงถึงอักษรวรรค บ ผ พ ภ ม พระพฤหัสบดีจัดว่าเป็นครูของบรรดาเทวดาทั้งหลายทั้งมวล จึงนิยมทำพิธีไหว้ครูในวันพฤหัสบดีนั้นเองจึ่งเป็นที่มาของการไหว้ครู
พระพฤหัสบดีเป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ให้ผลดังเช่นนิสัยแห่งพระฤาษีนั่นคือ ผู้ใดหรือคนอื่นคนใดเกิดวันพฤหัสบดีหรือมีพระพฤหัสบดีสถิตร่วมกับลัคนาของตนแล้วไซร์ มักทำอะไรด้วยความระมัดระวังและสุขุมรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง เมตตาปรานีต่อผู้อื่นด้วยประการเช่นนี้
ตามนิทานชาติเวรพระพฤหัสนั้นทรงเป็นมิตรกับพระอาทิตย์และทรงเป็นศัตรูกับพระจันทร์
ในโหราศาสตร์ความเชื่อไทยพระพฤหัสบดีถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ 5 และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากพระฤาษี ๑๙ ตน จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น ๑๙  นั่นเอง
สำหรับพระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีก็คือพระปางสมาธิ
 

พระพุธ

พระพุธ ใน ตำนาน เทพ นวนิยาย ศาสนาพราหมณ์
 
การกำเนิดพระพุธ เป็นบุตรของพระจันทร์ กับพระนางโรหิณี เรื่องเศร้าที่สุดในชีวิตของเทพองค์นี้อยู่ที่ทรงไปปิ๊งรักกับพระนางอิลา ซึ่งจริงๆ แล้วพระนางเป็นผู้ชาย แต่ทะเล้นชอบแปลงเป็นผู้หญิงมาหลอกให้ พระพุธ พลอยลักเพศไปด้วยแบบไม่เจตนา ต่อมาพระนางอิลา ก็ถูก พระอิศวร หรือ พระศิวะ ลงโทษโดยการสาบให้ชายกลับกายเป็นหญิงแท้ สลับกันไปเรื่อยๆ เลยเป็นโชคดีของ พระพุธ ที่ยังมีวันที่เมียได้เป็นผู้หญิงจริงๆกับเค้าบ้าง
พระพุธเทวนาครีเป็นเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่งในคติความเชื่อแบบไทย พระพุธถูกสร้างขึ้นมาจากคชสาร หรือช้างจำนวนทั้งสิ้น 17 เชือก บดป่นจนเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีเขียวใบไม้แล้วเสกได้มาเป็นพระพุธ มีพระวรกายเขียวทรงคชสารเป็นพาหนะ ประจำอยู่ในทิศใต้ และแสดงถึงอักษรวรรค ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
พระพุธเป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ให้ผลไปในทางอ่อนโยนไพเราะนั่นคือ ผู้ใดที่เกิดในวันพุธ หรือมีพระพุธสถิตร่วมกับลัคนาของตน มักจะชอบพูดชอบเจรจา เป็นคนสุขุมรอบคอบ แต่ตื่นกลัวง่ายไปหน่อย ตามนิทานชาติเวรพระพุธนั้นทรงเป็นมิตรกับพระจันทร์ และเป็นศัตรูกับพระราหู
ในโหราศาสตร์ความเชื่อของคนไทย พระพุธถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ 4 และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากคชสารจำนวน 17 เชือก จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น 17  นั่นเอง
สำหรับพระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันพุธก็คือพระปางอุ้มบาตร
 

พระอังคาร

พระอังคารใน ตำนาน เทพ นวนิยาย ศาสนาพราหมณ์
 
กำเนิดพระอังคารเป็นบุตรของ พระนารายณ์กับพระแม่ธรณี มีอารมณ์รุนแรง นิสัยโหดร้าย เป็นเทพเจ้าอารมณ์จนใครๆ ก็กลัวไปตามๆ กัน ยิ่งบริวารแล้วไซร์แต่ละคนอยากลาออกวันละหลายๆ รอบ แต่ พระอังคารนั้นเป็นเทพ ที่รบทัพจับศึกเก่งเอามากๆ ด้วยความเก่ง พระอิศวร หรือ พระศิวะ จึงได้ทรงมอบหมายให้ไปเฝ้าเขาพระเมรุด้านทิศอาคเนย์เอาไว้ให้ได้
พระอังคาร เทวนาครี, มังคละเป็นเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่งในคติความเชื่อของไทย พระอังคารถูกสร้างขึ้นมาจากมหิงสา หรือ ควาย 8 ตัว บดป่นจนเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีชมพูหม่นแล้วเสกจึ่งได้เป็นพระอังคารที่มีสีวรกายชมพู ทรงมหิงสาหรือควายเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ และแสดงถึงอักษรวรรค จ ฉ ช ฌ ญ
พระอังคารเป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ ให้ผลไปในทางรุนแรงและเร่าร้อน นั่นคือผู้ใดก็ตามที่เกิดในวันอังคาร หรือคนใดมีพระอังคารสถิตร่วมกับลัคนา มักมีอารมณ์มุทะลุหรืออารมณ์รุนแรง ตึงตัง ชอบใช้กำลังมากกว่าใช้ความคิด ใจร้อน 
ตามนิทานชาติเวรพระอังคารนั้นเป็นมิตรกับพระศุกร์และเป็นศัตรูกับพระอาทิตย์
 
ในโหราศาสตร์ความเชื่อของไทยพระอังคารถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ 3 และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากมหิงสาหรือควายทั้ง 8 ตัว จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น 8  นั่นเอง
สำหรับพระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันอังคารก็คือ พระปางไสยาสน์ และภายหลังมีพระปางลีลา เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งปาง
 

พระจันทร์

พระจันทร์ ใน ตำนาน เทพ นวนิยาย ศาสนาพราหมณ์
 
การกำเนิดของพระจันทร์ มีอยู่ด้วยกัน 3 ตำนาน ตำนานแรกได้บอกไว้ว่า พระจันทร์ เป็นลูกของพระอัตริมุนี กับ นางอนสูยา แต่อีกตำนานหนึ่งก็ได้บอกไว้ว่า พระอิศวร หรือ พระศิวะ
เป็นผู้สร้างพระจันทร์ขึ้นมาจากผงนางฟ้า 15 นาง และในตำนานสุดท้ายก็ได้เล่าว่าเทพองค์นี้กำเนิดขึ้นมาจากการกวนน้ำทิพย์ของเทพ และ อสูร แต่ไม่ว่าเทพองค์นี้จะเกิดมาอย่างไร สิ่งที่จริงแท้แน่นอนก็คือ พระจันทร์ เป็นเทพที่มีรูปร่างสง่างามและหล่อเอามากๆ เหล่านางฟ้า บนสรวงสวรรค์แทบทุกองค์ใฝ่ฝันอยากจะเป็นภรรยาของเทพองค์นี้กันทั้งนั้น และ พระจันทร์ ก็เป็นคนใจอ่อน ไม่อยากให้เหล่านางฟ้าเสียน้ำใจเลยกวาดนางฟ้ามาเป็นภรรยาซะเกือบหมดสวรรค์ไปเลย
พระจันทร์ เทวนาครีเป็นเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่งในคติไทยความเชื่อ พระจันทร์ถูกสร้างขึ้นมาจากเทวธิดา นางฟ้า ๑๕ นาง บดป่นเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีขาวนวล แล้วเสกได้เป็นพระจันทร์ จึ่งมีสีวรกายขาวนวลทรงอาชา ม้า เป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันออกและแสดงถึงอักษรวรรค  ก ข ค ฅ ฆ ง
พระจันทร์ เป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ให้ผลในทางนุ่มนวลอ่อนโยนนั่นคือ ผู้ใดที่ในเกิดวันจันทร์ หรือมีพระจันทร์สถิตร่วมกับลัคนาของตน มักเป็นคนมีอารมณ์อ่อนโยน เพ้อฝัน รวนเร ตามนิทานชาติเวรพระจันทร์เป็นมิตรกับพระพุธ และเป็นศัตรูกับพระพฤหัสบดี
ในโหราศาสตร์ความเชื่อของไทย พระจันทร์ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ ๒ และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากนางฟ้า ๑๕ นาง จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น ๑๕ 
สำหรับพระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันจันทร์ก็คือ พระปางห้ามสมุทร
 

พระอาทิตย์

พระอาทิตย์ ใน ตำนาน เทพ นวนิยาย ศาสนาพราหมณ์


  พระอาทิตย์นั้นทรง เป็นลูกของ นางอทิติ แต่จัดว่าเป็นเด็กอาภัพนัก เนื่องจากเกิดมาก็มีแสงอันร้อนแรงจนชาวบ้านชาวช่องไม่กล้าเข้าใกล้ พระอาทิตย์ก็เลยกลายเป็นเด็กที่ร้อนแต่ตัวแต่จิตใจกลับแห้งแล้งขาดความอบอุ่นซ้ำพระอาทิตย์ยังต้องเร่ร่อนไปเรื่อยๆ ไม่มีใครอยากให้อยู่ด้วยจนกระทั่งวันหนึ่งได้โตเป็นหนุ่มพระอาทิตย์ก็ได้พบรักและแต่งงานกับพระนางสัญญา เป็น ธิดาของพระวิศวกรรม แต่ด้วยความร้อนที่สามี นางจึงทนความร้อนไม่ไหวจึ่งต้องหนีจากไป พระอาทิตย์จึงกลายเป็นเทพมีปัญหา พ่อแม่ก็ไม่เอาเมียก็ยังมาทิ้ง พ่อตาหรือพระวิศวกรรม เห็นแล้วก็อดสงสารลูกเขยไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจเอาชีวิตเข้าเสี่ยงยอมทนร้อนเข้าไปคลุกวงในขูดผิวกายของลูกเขยเพื่อดึงความร้อนออกมาซะบ้างจากนั้นก็เอาเศษผิวเหล่านั้นไปประดิษฐ์เป็น อาวุธ ต่างๆบนสรรค์
พระอาทิตย์ เป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ให้ผลในทางก้าวร้าวรุนแรงนั่นคือ ผู้ใดเกิดวันอาทิตย์หรือมีพระอาทิตย์สถิตร่วมกับลัคนา มักมีอารมณ์รุนแรงง่าย ตัดสินใจไวเฉียบขาดจนเกินไป รักอิสระ แต่มีความซื่อสัตย์ 
 
ตามนิทานชาติเวร พระอาทิตย์เป็นมิตรกับพระพฤหัสบดีและเป็นศัตรูกับพระอังคาร
ในโหราศาสตร์ไทยพระอาทิตย์ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ ๑ หรือเลขหนึ่งไทย และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากราชสีห์6ตัวนี้เองจึงทำให้มีกำลังพระเคราะห์เป็น 6 
สำหรับพระประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ก็คือ พระปางถวายเนตร
 
นอกจากราชสีห์แล้ว พระอาทิตย์ยังมี รถเทียมม้าขาว ๗ ตัว โดยมีสารถีชื่ออรุณเป็นเทวพาหนะอีกอย่าง
พระอาทิตย์ เทวนาครี,สูรยะ เป็นเทวดานพเคราะห์องค์หนึ่ง ที่มีอำนาจเหนือกว่าเทวดานพเคราะห์ทั้งหลายในคติไทยความเชื่อไทย พระอาทิตย์ถูกสร้างขึ้นมาจากราชสีห์ 6 ตัวบดป่นเป็นผงห่อผ้าสีแดง แล้วเสกได้เป็นพระอาทิตย์ขึ้นมา จึ่งมีสีวรกายแดงทรงราชสีห์เป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และแสดงถึงสระทั้งหมด อะ อา อิ อี อุ อูเอ โอ

กิเลน ตำนาน สัตว์ ใน เทพ นวนิยาย

กิเลน ตำนาน สัตว์ ใน เทพ นวนิยาย เป็นคำที่มาจากภาษาของจีน เป็นชื่อของสัตว์ในตำนานเทพนวนิยายจีน

ตามตำนานเทพนวนิยายของจีนได้กล่าวไว้ว่า ถ้าเป็นเพศผู้เรียกว่า "กี" ถ้าเป็นเพศเมียเรียกว่า "เลน" หรือ "กิเลน" กิเลนนั้น ตามตำนานเทพนวนิยายจีนว่ามีรูปร่างเหมือนกวาง แต่มีเขาอยู่เขาเดียว หางจะเหมือนวัว หัวเป็นสิงโตมีหนวด ตีนมีกีบเหมือนม้า แต่บางตำราว่าก็ว่ามีตัวเป็นสุนัข ลำตัวเป็นสมัน เกิดจากธาตุทั้งห้า คือ ดินน้ำไฟไม้และโลหะ ผสมกันทำให้มันเป็นสัตว์ที่น่าเกรงขาม

เชื่อว่ามันสามารถมีอายุอยู่ได้ถึงพันปี และถือว่าเป็นยอดแห่งสัตว์ทั้งหลายเลยก็ว่าได้ เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณงามความดีทั้งปวล ถ้ากิเลสปรากฏให้เห็นเมื่อใด ก็จะเกิดผู้มีบุญบารมีมาปกครองบ้านเมืองให้ได้อยู่เย็นเป็นสุขเมื่อนั้น กิเลนเป็นหนึ่งในสี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งประกอบด้วย หงส์ เต่า มังกร และกิเลน (บ้างตำราก็ว่าเป็น เสือ)

ตามความเชื่อเรื่องการสร้างโลกของประเทศจีน ในยุคของฟูซี ซึ่งเป็นผู้ปกครองชนเผ่าคนแรกของมนุษย์ได้สังเกตปรากฏการณ์ต่าง ๆของธรรมชาติจนสามารถพึ่งพาตัวเองได้ วันหนึ่งมีกิเลนตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาจากแม่น้ำสายหนึ่ง ซึ่งก็คือแม่น้ำหวงโฮ บนหลังกิเลนมีสัญลักษณ์อย่างหนึ่งปรากฏที่ถูกเรียกในภายหลังว่าแผนที่เหอ ซึ่งต่อมาไม่นานได้พัฒนากลายเป็นตัวอักษร หลังจากนั้นองค์ความรู้ต่าง ๆของมนุษย์ก็บังเกิดและเจริญสืบต่อเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

เวตาล ตำนานสัตว์ในเทพนวนิยาย

เวตาล ตำนาน สัตว์ ใน เทพ นวนิยาย

เวตาลเป็นอมนุษย์จำพวกหนึ่งคล้ายๆค้างคาวผีในปรัมปราคติของพราหมฮินดู ดำรงอยู่เป็นภูตผีที่อาศัยในซากศพของคนตายผู้อื่นในตอนกลางวัน ศพเหล่านี้ที่เวตาลอยู่อาจใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการเดินทาง เพราะขณะที่เวตาลอาศัยอยู่นั้นซากศพคนตายเหล่านี้จะไม่เน่า แต่เวตาลอาจะออกจากศพเพื่อหากินในตอนกลางคืน ในพจนานุกรม พ.ศ. 2542 ได้ให้คำกล่าวไว้ว่า "เวตาล คือ ภูตผีจำพวกหนึ่ง ชอบสิงอยู่ในป่าช้าหรือซากศพคนตาย"

ตามตำนานของชาวพราหมฮินดู กล่าวว่าเวตาลนั้นเป็นวิญญาณเลวร้ายที่วนเวียนอยู่ตามสุสานคนตาย และจะคอยเข้าสิงอยู่ในซากศพต่างๆ มันจะทำร้ายมนุษย์ที่เข้าไปรบกวนมัน เหยื่อของเวตาลจะถูกเข้าสิง ทำให้มือและเท้าหันไปข้างหลังเสมอๆ เวตาลยังทำให้ผู้คนเป็นบ้า มันจะฆ่าเด็กที่เห็น และทำให้แท้งลูก แต่เวตาลยังมีข้อดี คือมันจะคอยดูแลหมู่บ้านของมันเองไม่ให้ใครเข้ามาลบกวน

เรื่องราวเกี่ยวกับเวตาลยังมีอีกมากมายนัก ดังนั้นจึงรวบรวมไว้เรียกว่า "เวตาลปัญจวิงศติ"หรือ นิทานเวตาล 25 เรื่อง รวมอยู่ในหนังสือกถาสริตสาครของนักปราชญ์หรือนักแต่งชาวอินเดียชื่อโสมเทวะเป็นหามาดูมาอ่านกันได้นะ

สงคราม ซูล กับ โครนัส ตำนาน เทพ นวนิยาย กรีก โรมัน ครั้งที่1 (6)

สงคราม ซูล กับ โครนัส ตำนาน เทพ นวนิยาย กรีก โรมัน ครั้งที่1 (6)

เทพบุตรหนุ่มซูสได้กลับมารบกับโครนัสผู้เป็นบิดาและในที่สุดโครนัสก็เป็นฝ่ายปราชัยให้แก่ซูสที่มีพลกำลังที่เหนือกว่า ซูสจับตัวโครนัสไว้ได้และปรึกษาพระนางรีอาผู้เป็นมารดาว่าจะทำอย่างไรดี

_____พระนางรีอาจึงแนะนำให้มีทิสธิดาของโอเชียนัส ปรุงยาสำรอกและบังคับให้โครนัสได้ดื่ม โครนัสดื่มยานั้นไปแล้วจึงได้สำรอกเทพบุตรและเทพธิดาต่างๆที่กลืนลงท้องไปออกมา จนหมดทุกองค์รวมทั้งหินที่กลืนลงไปเข้าใจว่าเป็นซูสด้วย

_____เทพบุตรและเทพธิดาพี่ๆของซูสที่โครนัสนั้นได้สำรอกออกมา คือ เฮสเทีย (Hestia) ดีมิเตอร์ (Demeter) ฮีรา (Hera) ฮาเดส (Hades) และโปไซดอน (Poseidon) ตามลำดับ

_____สำหรับก้อนหินที่โครนัสสำรอกออก มาด้วยนั้น ภายหลังได้เอาไปเก็บรักษาไว้เป็นที่เคารพบูชาแทนองค์ซูส ณ วิหารเดลฟี (Delphi) จากนั้นซูสก็เนรเทศโครนัสออกไปจากเขาโอลิมปัส

             เมื่อซูสยึดอำนาจจากโครนัสได้สำเร็จ ซูสเองก็ได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจอมเทพแห่งสรรงสวรรค์โอลิมปัส โดยมีพี่ๆของตน ที่สำรอกออกมาจากท้องโครนัสเป็นกำลังสนับสนุน
            ฝ่ายโครนัสเอง เมื่อถูกขับไล่ออกจากสรรงสวรรค์โอลิมปัส ก็ไปรวบรวมกำลังกลับมาทวงอำนาจคืนจากซูส กองกำลังฝ่ายโครนัสนั้นประกอบด้วยเทพบุตรไทแทน คือ ซีอัส ครีอัส ไฮเพอร์เรียน และไอแอพิทัส ส่วนโอเชียนัสกับเทพธิดาไทแทนที่เหลือวางตัวเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใด นอกจากนี้โครนัสก็ยังมีหลานๆ มาเป็นกำลังสนับสนุนในการศึกนี้ด้วย ที่เป็นจอมทัพคนสำคัญ คือ แอตลาส โอรสของไอแอพิทัสกับคลีมีน

กำเนิดซูล ตำนาน เทพ นวนิยาย กรีก โรมัน 5

กำเนิดซูล ตำนาน เทพ นวนิยาย กรีก โรมัน 5
จนกระทั่งในวันหนึ่งพระนางรีอาก็ถือกำเนิดเทพบุตรองค์แรก ทำให้โครนัสคิดถึงคำสาปของอูรานอสจอมบิดาก็ผุดขึ้นในความทรงจำของเทพไทแทนโครนัสทันที โครนัสจึงรีบไปหาพระนางรีอาและจับเทพบุตรของตนเองนั้นกลืนกินเสีย หลังจากนั้นโครนัสก็ยังคงกลืนกินเทพบุตรและเทพธิดาองค์ต่อๆ มาอีกรวมด้วยกันทั้งสิ้น 5 องค์

_____พระนางรีอาพยายามอ้อนวอนขอร้องให้โครนัส ไว้ชีวิตบุตรที่เกิดใหม่ของตน แต่โครนัสกลับกลัวคำสาบแช่งของจอมบิดาจึงไม่ยอมฟังคำร้องขอดังกล่าว พระนางรีอาเองจึงปรึกษากับจอมมารดาจีอาและได้วางแผนช่วยชีวิตบุตรองค์ต่อไปให้รอดพ้นจากการถูกโครนัสกลืนกิน

_____ครั้งถึงเวลาประสูติบุตรองค์นี้ เป็นเทพบุตรที่มีนามชื่อว่า ซูส (Zeus) พระนางรีอาก็เอาซูสไปซ่อนในที่ปลอดภัยเสียก่อนที่โครนัสจะมาถึง ส่วนจอมมารดาจีอาก็เอาหินก้อนหนึ่งมาห่อหุ่มผ้าไว้ทำทีว่าเป็นเทพบุตรองค์ใหม่ให้ พระนางรีอาอุ้มไว้
        เมื่อโครนัสได้ข่าวการประสูติของเทพบุตรองค์ใหม่ของตน ก็รีบมุ่งหมายมาจะจับกินเสีย พระนางรีอาก็แสร้งทำเป็นอ้อนวอนขอชีวิตไว้แต่โครนัสไม่ยินยอมอีกเช่นเดิม โครนัสแย่งผ้าห่อก้อนหินนั้นไปจากพระนางรีอาและกลืนกินลงท้องไปโดยเข้าใจว่าเป็น บุตรที่เกิดใหม่แล้วก็ได้กลับไป

_____โครนัสได้กลับไปแล้วพระนางรีอาก็จัดแจงฝากฝังซูสให้นางอัปสรนีเรียด ธิดาของผู้เฒ่าทะเลนีรูส นำไปเลี้ยงดูเอาไว้ก่อน นางอัปสรจึงพาซูสไปเกาะครีตโดยนำซูสไปไว้ในถ้ำบนยอดเขาไอคาเพื่อป้องกันการมองเห็นของโครนัส และเลี้ยงดูด้วยน้ำนมจากนางแพะที่มีชื่อว่าแอมัลเธีย (Amalthea) โดยมีกลุ่มสาวกของพระนางรีอา เรียกว่าคิวรีทิสทำหน้าที่เป็นอาจารย์ค่อยสั่งสอนสรรพวิชาให้ซูสจนเก่งกาจ

_____ระหว่างที่ซูสยังเป็นทารกน้อยอยู่นั้น นางอัปสรนีเรียดต้องหาวิธีป้องกันไม่ให้โครนัสรู้ว่าเทพบุตรซูสองค์นี้ยังมีชีวิตอยู่ โดยการผูกเปลกับต้นไม้ให้ซูสใช้นอนในยามหลับ โครนัสที่คอยสอดส่องทั้งบนสรรงสวรรค์และบนผืนแผ่นดินจึงไม่อาจมองไม่เห็นซูสที่ไม่ได้อยู่ทั้ง บนสรรงสวรรค์และบนแผ่นดินได้

_____นอกจากนี้เหล่าสาวกคิวรีทิสก็ช่วยกันคิดค้นเพลงเต้นรำแบบหนึ่งหรือชนิดหนึ่งขึ้น เพลงเต้นรำแบบนี้ต้องใช้เสียงประสานของอาวุธที่อึกทึกครึกโครมจนกลบเสียงร้องของเทพบุตรซูส ไว้ไม่ให้ได้ยินไปถึงสรรงสวรรค์

_____ฝ่ายโครนัสสำคัญผิดคิดว่าคำสาปของ จอมบิดาอูรานอสไม่เป็นผลแล้วอย่างแน่นอนก็สิ้นวิตก มิได้แยแสกับเสียงเอ็ดอึงของเหล่าสาวกคิวรีทิส ทำให้ซูสสามารถดำรงค์ชีวิตอยู่ได้จนเติบใหญ่เป็นเทพบุตรหนุ่มรูปงามอีกทั้งยังแข็งแรง

โครนัส ตำนาน เทพ นวนิยาย กรีก โรมัน 4

โครนัส ตำนาน เทพ นวนิยาย กรีก โรมัน
เมื่อโครนัสยึดพระราชอำนาจจากผู้เป็นบิดาอูรานอสได้แล้วนั้น โครนัสผู้เป็นมหาเทพองค์ใหม่ของเหล่าทวยเทพไทแทน จึ่งได้ให้เหล่าทวยเทพไทแทนให้อำนาจในการปกครองยังดินแดนต่างๆ

โอเชียนัส เป็นเทพเจ้าแห่งการคุ้มครองมหาสมุทรและแม่น้ำต่างๆ
ซีอัส เป็นเทพแห่งภูมิปัญญาคือมีปัญญาอันดีเลิศ
ครีอัส เป็นเทพเจ้าคอยคุ้มครองฝูงแกะ
ไฮเพอร์เรียน เป็นเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์และไฟ
ไอแอพิทัส เป็นเทพแห่งการทำสงคราม
เธีย เป็นเทพีแห่งการมองเห็นล่วงหน้าหรืออนาคต
รีอา เป็นเทพีแห่งการแต่งงานและพีธีการ
ธีมิส เป็นเทพีแห่งความยุติธรรม
ธีทิส เป็นเทพีคุ้มครองเด็กทารกต่างๆและสายน้ำใต้ดิน
เนโมซินี เป็นเทพีความทรงจำ
ฟีบี เป็นเทพีความฉลาดหรือสติปัญญา


           จากนั้นเหล่าทวยเทพไทแทนต่างก็มีคู่ครอง แต่อาจเป็นเพราะสวรรค์ยังมีเทพอยู่จำนวนน้อย เหล่าทวยเทพไทแทนส่วนใหญ่จึงได้จับคู่แต่งงานกันเองในระหว่างพี่น้อง

_____มหาเทพโครนัสครองอำนาจเหนือเหล่าทวยเทพทั้งปวงอยู่ ณ บนยอดเขา สวรรค์โอลิมปัสเป็นสุขสงบมาแสนนานเป็นยุคสมัยแห่งความยิ่งใหญ่ของเทพไทแทน

กำเนิด เทพไทแทน ตำนาน เทพ นวนิยาย กรีก โรมัน 3

กำเนิด เทพไทแทน ตำนาน เทพ นวนิยาย กรีก โรมัน

          ต่อมาไม่นานนักจอมมารดาจีอาก็ให้กำเนิดเทพบุตรและเทพธิดารวมกันทั้งสิ้น 12 องค์ เทพบุตร6องค์ อันได้แก่ โอเซียนัส(Oceanus) , ซีอัส(Coeus) , ครีอัส(Creus) , ไฮเพอร์เรียน(Hyperion) , ไอแอพิทัส(Iapetus) และโครนัส(Cronus) และเทพธิดา6องค์ อันได้แก่ เธีย(Thea) , รีอา(Rhea) , ธีมิส(Themis) , ธีทิส(Thetis) , เนโมซินี(Nemosyne) และฟีบี(Phoebe)

_____เทพบุตรและเทพธิดาทั้ง 12 พระองค์นี้ มีร่างกายใหญ่มหึมา เรียกว่า ไทแทน(Titan) หรือ ไจแอนทีส(Gigantes)ด้วยขนาดร่างกายที่ใหญ่โตของพวกเทพบุตรเทพธิดานี้เอง จึ่งทำให้จอมบิดาอูรานอสหวาดหวั่นได้จับเทพไทแทนทั้งหมด โยนพวกเหล่าเทพไทแทนลงไปขังไว้ในตรุทาร์ทะรัส (Tartarus) ซึ่งเป็นขุมนรกส่วนที่ลึกที่สุดในยมโลกที่ดำมืดมิดและน่ากลัวที่สุด เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เทพบุตรหรือเทพธิดาองค์ใดใช้พลังที่ตนมีเป็นปฏิปักษ์กับตนได้

_____ต่อมาจอมมารดาจีอาก็ได้ให้กำเนิดโอรสที่ดุร้ายแถมมีร่างกายที่แปลกประหลาดมากยิ่งขึ้นไปอีก คือ เป็นยักษ์ที่มี 50 หัว 100 แขน จำนวนทั้งสิ้น 3 ตน คือ คอตทัส(Cottus) , เบรียรูส(Briareus) และไกจีส(Gyges)

_____จอมิดาอูรานอสก็รู้สึกกลัวอีกเช่นกันในความดุร้ายของยักษ์ 50 หัว 100 แขน พวกนี้ จึงจับพวกเขาโยนลงไปขังในตรุทาร์ทะรัสอีกครั้ง

_____ต่อมาจอมมารดาจีอาก็ได้ให้กำเนิดโอรสเป็นยักษ์ตาเดียว เรียกว่าไซคลอปส์ (Cyclops) อีก3ตนเรียกนาม ตามลำดับว่า ฟ้าลั่น-บรอนทีส(Brontes) , ฟ้าแลบ-สเทอโรพีส(Steropes) และแสงสว่างวาบ-อาจีส (Arges)

_____จอมบิดาอูรานอสก็จับไซคลอปส์ทั้งสามโยนลงไปขังไว้ในตรุทาร์ทะรัสอีกเช่นเดียวกันเป็นครั้งที่ 3 ด้วยแสงสว่างจากไซคลอปส์ทั้งสามในตรุทาร์ทะรัสที่มืดมิดจึงพอมองเห็นกันได้ เมื่อเริ่มมองเห็นแสงเหล่าเทพเจ้าไทแทนก็เริ่มคิดหาวิธีทางเป็นไทแต่ก็หาวิธีออกจากตรุทาร์ทะรัสนี้ไม่ได้

_____ฝ่ายจอมมารดาจีอานั้นเริ่มรู้สึกไม่พอใจที่ตัวจอมเทพิดาอูรานอสนั้นจับลูกๆลงไปขังไว้ในตรุทาร์ทะรัสทั้งหมด แต่แม้พระนางจะห้ามปรามอย่างใรจอมบิดาอูรานอสก็ไม่ยอมฟัง จอมเทพมารดาจีอาจึงลงไปที่ตรุทาร์ทะรัสและยุยงลูกๆของตน ให้ร่วมกันคิดกันแย่งชิงพระราชอำนาจจากบิดาให้จงได้

          แม้ฝ่ายเหล่าเทพไทแทนจะอยากเป็นอิสระจากตรุทาร์ทะรัสเพียงใด แต่เมื่อคิดถึงการที่ต้องไปต่อสู้แย่งชิงพระราชอำนาจจากจอมเทพบิดาอูรานอสก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะทำ ยกเว้นเทพบุตรโครนัสน้องสุดท้องคนเดียวที่มีความกล้าพอจะทำตามคำยุยงของจอมเทพมารดาจีอาจึงช่วยโครนัสให้หลุดจากพันธนาการของการถูกขัง และได้มอบเคียวให้เป็นอาวุธเพื่อไปสู้กับจอมเทพบิดาอูรานอส

_____ตกกลางคืนโครนัสก็ได้ไปแอบรอท่าอยู่ก่อนแล้ว ใต้เตียงจอมบิดาอูรานอสกับจอมมารดาจีอา เมื่ออูรานอสหลับไม่ได้สติ โครนัสก็ถือเคียวอาวุธคู่มือเข้าจู่โจมจอมบิดาอูรานอสโดยไม่ให้รู้ทันตั้งตัว อูรานอสมีพละกำลังน้อยกว่าแถมไม่รู้ตัวมาก่อนจึงทำให้เสียเปรียบเป็นอย่างมาก ยิ่งต่อสู้กันนานไปเท่าไรก็ยิ่งได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลทั่วร่างกาย เลือดของจอมบิดาอูรานอสแต่ละหยดเมื่อตกต้องผืนแผ่นดินก็กลายเป็นยักษ์  , ภูติอีรินิส และพรายน้ำจำนวนมาก

_____และในที่สุดจอมบิดาอูรานอสได้ก็พ่ายแพ้ ถูกเทพบุตรโครนัสใช้เคียวตัดอัณฑะขว้างทิ้งลงทะเลและยึดอำนาจได้สำเร็จ ก่อนจะสิ้นชีวิตจอมเทพบิดาอูรานอสได้กล่าวคำสาปแช่งกับเทพบุตรโครนัสไว้ว่าวันหน้าขอให้โครนัสถูกลูกๆของตนเองแย่งชิงพระราชอำนาจไปเหมือนกับที่ตนเองถูกกระทำในตอนนี้

_____โครนัสจัดแจงปล่อยเหล่าทวยเทพไทแทนทั้งหมดออกจากขุมนรกทาร์ทะรัส ซึ่งเหล่าทวยเทพไทแทนทุกพระองค์รู้สึกปลื้มปิติยินดีในอิสรภาพครั้งนี้เป็นอย่างยิ่งจึงพร้อมใจกันยก ให้โครนัสเป็นเทพบิดาปกครองเหล่าทวยเทพทั้งหมดทั้งมวลอยู่ที่เขาโอลิมปัสสืบต่อไป

กำเนิด ตำนาน เทพ นวนิยาย กรีก โรมัน 2

กำเนิด ตำนาน เทพ นวนิยาย กรีก โรมัน

ความเชื่อของชนชาติชาวกรีกโบราณเชื่อกันว่า...

____ อดีตกาลนานแสนนานมาแล้ว ไม่สามารถอาจนับเวลาได้ ซึ่งนับย้อนหลังไปถึงยุคก่อนกำเนิดโลก สรรพสิ่งทั้งหลายยังเป็นเพียงความว่างเปล่า ที่กว้างใหญ่มหึมาจนไม่สามารถหาขอบเขตมิได้ มีแต่ความดำมืด ปราศจากรูปลักษณะใดๆ ที่เรียกว่าเคออส (Chaos)

_____และกาลเวลาล่วงมาอีกนานนับกัลไม่ถ้วนโลกจึงผุดขึ้นเป็นผืนแผ่นกว้างใหญ่มหึมา ที่เรียกว่าจีอา (Gaea) ซึ่งเราถือว่าเป็นจอมมารดาของสรรพสิ่งต่างๆทั้งมวลเพราะถือว่ากำเนิดขึ้นก่อนใคร ผืนแผ่นดินนี้ผืนนี้ มีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้เกิดสิ่งต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดและทำให้เกิดพายุได้

_____ต่อมาจีอานั้นก็ได้บันดาลให้เกิดแผ่นฟ้าหรือท้องฟ้า ที่เต็มไปด้วยดวงดาวขึ้นปกคลุมเหนือผืนแผ่นดินของตนเอง ที่เรียกว่าอูรานอส (Ouranos) ซึ่งเราถือเป็นจอมบิดาของสรรพสิ่งทั้งปวงให้คู่กับจอมมารดาจีอา และอูรานอสก็ได้บันดาลให้เกิดขุมนรกที่ดำมืดมิดและน่ากลัวอย่างยิ่ง ที่เรียกว่าทาร์ทะรัส (Tartarus)
 

         และแล้วกาลเวลาผ่านมาอีกนับกัลไม่ถ้วน จอมมารดาจีอาและจอมบิดาอูรานอสจากเดิมเป็นเพียงธรรมชาติผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ ก็ค่อยๆกลายเป็นจอมเทพผู้ทรงอำนาจคู่แรกของโลกตามประวัติความเชื่อชาวกรีก ทั้งสองได้ร่วมกันเถลิงอำนาจอยู่ ณ สรวงสวรรค์โอลิมปัสซึ่งเป็นภูเขาที่สูงตระหง่านตั้งอยู่กลางแผ่นดินสูงขึ้นไปจนสุดชั้นฟ้า จนไม่สามารถมองเห็นได้

บทนำ ตำนานเทพ นวนิยาย กรีก โรมัน 1

           ตำนานเทพ นวนิยาย กรีก โรมัน คือ วิชาหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับตำนานหรือเรื่องเล่าต่าง ๆ ของเหล่าเทพเจ้าของชาวกรีก บางทีเราเรียกรวมกันว่าตำนานเทพนวนนิยายเจ้ากรีก โรมัน เพราะชาวโรมันได้รับอารยธรรมกรีกมาใช้แล้วเอาความเชื่อเรื่องเทพเจ้าของชาวกรีกมาด้วย เพียงแต่ชาวโรมันเปลี่ยนชื่อของบรรดาเทพเจ้ากรีกให้เป็นชื่อของพวกตน แต่ตำนานความเป็นมาของเทพเจ้าแต่ละองค์ยังคงเหมือนของชาวกรีกทุกประการ

~ตำนานเทพกรีก~

            ตำนานเทพนวนิยาย กรีกนี้ เป็นเรื่องราวของเหล่าเทพเจ้าและวีรบุรุษในตำนานของ กรีกโบราณซึ่งเป็น ที่รู้จักกันดี แต่อาจจะแปลกตรงที่หลายชื่อของเทพเจ้าอาจไม่ค่อยคุ้นหู เพราะอ้างอิงชื่อตามตำนานของกรีกเป็นหลัก ไม่ได้อ้างอิงตามตำนานของโรมัน

          แต่แท้จริงแล้วเหล่าเทพเจ้าของชนชาวโรมันนั้นก็คือเทพเจ้าที่กรีกนับถือนั่นเอง เมื่ออาณาจักรกรีกได้ล่มสลายไปและเกิดอาณาจักรโรมันที่รุ่งเรืองขึ้นมาแทนที่ชาวกรีก ชนชาวโรมันก็ได้รับตำนานความเชื่อในเหล่าเทพเจ้าของชนชาวกรีกมาด้วย แต่ก็ได้มีการนำเหล่าเทพเจ้าของชนชาวกรีกมาเปลี่ยนชื่อและแต่งเติมเรื่องราวเข้าไปจนกลายเป็นตำนานเทพเจ้าของอาณาจักรตนเอง

          ตัวอย่างชื่อเทพเจ้าที่แตกต่างกัน เช่น เทพเจ้าสูงสุดของชาวกรีกเรียกว่า ซูส แต่โรมันเรียกว่ากับเรียกว่าจูปิเตอร์ ชนชาวกรีกเรียกเทพเจ้าแห่งความรักความสมหวังว่าอีรอส แต่ทางโรมันเรียกว่าคิวปิด กรีกเรียกเทพีแห่งความงามว่าเทพพีอะโฟรไดท์ แต่ทางโรมันเรียกว่า เทพีวีนัส

         อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตำนานที่กล่าวถึงจะอ้างอิงของชนชาวกรีกโบราณแต่เพียงฝ่ายเดียว ก็หาได้ทำให้อรรถรสในการศึกษาตำนานของเทพนวนิยายเจ้าลดน้อยลงไปไม่ แม้แต่น้อยเลย

รวมตำนานเทพนวนิยาย

การสร้างโลก กำเนิดซูล ตำนาน เทพ นวนิยาย กรีก โรมัน กำเนิด ตำนาน เทพ นวนิยาย กรีก โรมัน กำเนิด เทพไทแทน ตำนาน เทพ นวนิยาย กรีก โรมัน กิเลน ตำนาน สัตว์ ใน เทพ นวนิยาย โครนัส ตำนาน เทพ นวนิยาย กรีก โรมัน เจ้าแม่หนี่วา ดินแดน ตำนานเทพ นวนิยาย กรีก โรมัน ตำนาน เทพ นวนิยาย จีน ตำนานเทพนวนิยายศาสนาพราหมณ์ ตำนาน เทพ นวนิยาย สแกนดิเนเวีย ตำนาน เทพ นวนิยาย อียิปต์ ท้าวจตุโลกบาล เทพเจ้ารา เทพผานกู บทนำตำนานเทพนวนิยายกรีกโรมัน พระจันทร์ พระพฤหัส พระพุธ พระราหู พระศุกร์ พระเสาร์ พระอังคาร พระอาทิตย์ เวตาล ตำนาน สัตว์ ใน เทพ นวนิยาย สงคราม ตำนาน เทพ นวนิยาย กรีก โรมัน ครั้งที่1 สัตว์ ใน เทพ นวนิยาย ฮก ลก ซิ่ว